วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หลักการของเวทมนตร์

มนตร์ หรือ เวท แม้จะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์แต่จะมีเดชมีอานุภาพขึ้นได้ต้องอาศัยการสวดหรือบริกรรมพร่ำบ่น กล่าวเกี่ยวกับพระปริตต์โดยเฉพาะท่านพระพุทธโฆสเถระกล่าวไว้่ว่า อานุภาพของพระปริตต์ทั้งหลายจะแผ่ไปกว้างขวางตลอดแสนโกฎิจักรวาฬ แผ่ไปได้อย่างไร? เทียบสิ่งที่เห็นได้ง่ายเช่น เมื่อเราขว้างหรือโยนก้อนดินหรือก้อนหินลงไปในสระน้ำ จะเห็นน้ำกระเพื่อมแผ่เป็นวงกว้างออกไป ๆ คลื่นในอากาศก็ทำนองเดียวกัน หากแต่ยังไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา โดยเฉพาะคลื่นเสียง ถ้าเข้าใจกฎแห่งความสั่นสะเทือนอาจช่วยให้เราเข้าใจปัญหาเรื่องเดชหรืออานุภาพของมนตร์ทั้งหลายได้บ้าง ตามหลักวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่า ชีวิตินทรีย์แต่ละประเภทย่อมมอัตราการสั่นสะเทือนของมันเอง แม้อนืนทรีย์วัตถุแต่ละชนิดตั้งแต่เม็ดทรายที่เป็นของเล็กขึ้นไปจนกระทั่งภูเขาลูกใหญ่ ๆ ตลอดจนดวงดาวนพเคราะห์และดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ แต่ละชนิดต่างมอัตราการสั่นเสทือนทั้งนั้น ความสั่นสะเทือนจะแผ่ไปกว้างแคบอย่างใดก็สุดแล้วแต่แรงกระทบหรือสัมผัส ถ้าพิจารณาเทียบกับทฤษฎีทางดนตรี อาจทำให้เห็นชัดเจนขึ้น เสียงดนตรีย่อมเกิดจากความสั่นเสทือนอันเกิดจากการกระทบหรือสัมผัสจะเป็นเสียง หนัก เบา ยาว สั้น สุดแต่อัตราการสั่นสะเทือน และถ้าจัดเสียงนั้น ๆ ให้ถูกโน้ตก็จะเกิดลำนำทำนองเพลงที่ไพเราะได้ตามต้องการ
นั่นเป็นเรื่องกฎแห่งความสั่นสะเทือน อันเกิดจากลมภายนอก แต่การเปล่งเสียงกล่าวมนตร์ทั้งหลายที่่บริกรรมพร่ำบ่น หรือสวดภาวนานั้นท่านอธิบายว่าเกิดจาก "ลมภายใน" ที่เรียกว่า "ปราณะวายุ" เป็นเสียงสั่นสะเทือนที่สำคัญ สามารถบันดาลให้มีเดช มีอานุภาพ ด้วยการพัฒนาทางจิตที่มีแรงกระทบ หรือสัมผัสเหนือสิ่งใดแล้วแผ่ขยายออกไป เช่น ที่พระพุทธโฆสะเถระกล่าวถึงอานุภาพพระปริตต์ข้างต้น เพราะท่านกล่าวว่า "ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายเป็นวัตถุ" จึงสามารถเกิดการกระทบ และทำให้เกิดความสั่นสะเทือนแผ่ขยายวงกว้างออกไป เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรัตนะปริตต์จบแต่ละคาถา ท่านพระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า อมนุษย์ทั้งหลายในแสนโกฏิจักรวาฬได้ยอมรับอาณาของคาถานั้น ๆ แต่มีหลักฐานอยู่ว่าการเปล่งเสียงกล่าวมนตร์ทั้งหลายที่นับว่าถูกต้องนั้น จะต้องมีความบริสุทธิ์สะอาดทางร่างกายของผู้บริกรรมและผู้สวดภาวนาตลอดจนผู้มีความรู้มนตร์นั้น ๆ โดยถูกต้องด้วย จึงมีความจำเป็นสำหรับผู้มีศรัทธาเลื่อมใสที่จะบริกรรมหรือสวดภาวนามนตร์ จะต้องชำระปากและลิ้นของตนให้บริสุทธิ์สะอาดเสียก่อนแล้วจึงเปล่งเสียงกล่าวมนตร์บทนั้น ๆ เป็นการให้ชีวิตชีวาแก่มนตร์หรือเป็นการปลุกอานุภาพที่หลับอยู่ของมนตร์บทนั้น ๆ เป็นกาารให้ชีวิตชีวาแก่มนตร์หรือเป็นการปลุกอานุภาพที่หลับอยู่ของมนต์บทนั้น ๆ ให้ตื่นตัวขึ้น

อ้างอิง : ธนิต อยู่โพธิ์ , อานุภาพพระปริตต์ โรงพิมพ์สุวรรณภูมิ กทม. 2537

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น