วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หลักการของเวทมนตร์

มนตร์ หรือ เวท แม้จะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์แต่จะมีเดชมีอานุภาพขึ้นได้ต้องอาศัยการสวดหรือบริกรรมพร่ำบ่น กล่าวเกี่ยวกับพระปริตต์โดยเฉพาะท่านพระพุทธโฆสเถระกล่าวไว้่ว่า อานุภาพของพระปริตต์ทั้งหลายจะแผ่ไปกว้างขวางตลอดแสนโกฎิจักรวาฬ แผ่ไปได้อย่างไร? เทียบสิ่งที่เห็นได้ง่ายเช่น เมื่อเราขว้างหรือโยนก้อนดินหรือก้อนหินลงไปในสระน้ำ จะเห็นน้ำกระเพื่อมแผ่เป็นวงกว้างออกไป ๆ คลื่นในอากาศก็ทำนองเดียวกัน หากแต่ยังไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา โดยเฉพาะคลื่นเสียง ถ้าเข้าใจกฎแห่งความสั่นสะเทือนอาจช่วยให้เราเข้าใจปัญหาเรื่องเดชหรืออานุภาพของมนตร์ทั้งหลายได้บ้าง ตามหลักวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่า ชีวิตินทรีย์แต่ละประเภทย่อมมอัตราการสั่นสะเทือนของมันเอง แม้อนืนทรีย์วัตถุแต่ละชนิดตั้งแต่เม็ดทรายที่เป็นของเล็กขึ้นไปจนกระทั่งภูเขาลูกใหญ่ ๆ ตลอดจนดวงดาวนพเคราะห์และดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ แต่ละชนิดต่างมอัตราการสั่นเสทือนทั้งนั้น ความสั่นสะเทือนจะแผ่ไปกว้างแคบอย่างใดก็สุดแล้วแต่แรงกระทบหรือสัมผัส ถ้าพิจารณาเทียบกับทฤษฎีทางดนตรี อาจทำให้เห็นชัดเจนขึ้น เสียงดนตรีย่อมเกิดจากความสั่นเสทือนอันเกิดจากการกระทบหรือสัมผัสจะเป็นเสียง หนัก เบา ยาว สั้น สุดแต่อัตราการสั่นสะเทือน และถ้าจัดเสียงนั้น ๆ ให้ถูกโน้ตก็จะเกิดลำนำทำนองเพลงที่ไพเราะได้ตามต้องการ
นั่นเป็นเรื่องกฎแห่งความสั่นสะเทือน อันเกิดจากลมภายนอก แต่การเปล่งเสียงกล่าวมนตร์ทั้งหลายที่่บริกรรมพร่ำบ่น หรือสวดภาวนานั้นท่านอธิบายว่าเกิดจาก "ลมภายใน" ที่เรียกว่า "ปราณะวายุ" เป็นเสียงสั่นสะเทือนที่สำคัญ สามารถบันดาลให้มีเดช มีอานุภาพ ด้วยการพัฒนาทางจิตที่มีแรงกระทบ หรือสัมผัสเหนือสิ่งใดแล้วแผ่ขยายออกไป เช่น ที่พระพุทธโฆสะเถระกล่าวถึงอานุภาพพระปริตต์ข้างต้น เพราะท่านกล่าวว่า "ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายเป็นวัตถุ" จึงสามารถเกิดการกระทบ และทำให้เกิดความสั่นสะเทือนแผ่ขยายวงกว้างออกไป เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรัตนะปริตต์จบแต่ละคาถา ท่านพระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า อมนุษย์ทั้งหลายในแสนโกฏิจักรวาฬได้ยอมรับอาณาของคาถานั้น ๆ แต่มีหลักฐานอยู่ว่าการเปล่งเสียงกล่าวมนตร์ทั้งหลายที่นับว่าถูกต้องนั้น จะต้องมีความบริสุทธิ์สะอาดทางร่างกายของผู้บริกรรมและผู้สวดภาวนาตลอดจนผู้มีความรู้มนตร์นั้น ๆ โดยถูกต้องด้วย จึงมีความจำเป็นสำหรับผู้มีศรัทธาเลื่อมใสที่จะบริกรรมหรือสวดภาวนามนตร์ จะต้องชำระปากและลิ้นของตนให้บริสุทธิ์สะอาดเสียก่อนแล้วจึงเปล่งเสียงกล่าวมนตร์บทนั้น ๆ เป็นการให้ชีวิตชีวาแก่มนตร์หรือเป็นการปลุกอานุภาพที่หลับอยู่ของมนตร์บทนั้น ๆ เป็นกาารให้ชีวิตชีวาแก่มนตร์หรือเป็นการปลุกอานุภาพที่หลับอยู่ของมนต์บทนั้น ๆ ให้ตื่นตัวขึ้น

อ้างอิง : ธนิต อยู่โพธิ์ , อานุภาพพระปริตต์ โรงพิมพ์สุวรรณภูมิ กทม. 2537

การใช้มนต์คาถา

เกี่ยวกับเรื่องใช้มนต์คาถานั้น พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าคณะพราหมณ์หลวง สำนักงานราชวัง และหัวหน้าคณะพราหมณ์ โบสถ์เทวสถาน บอกว่า เวทมนต์คาถาเป็นตัวสื่อทำให้เกิดสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิจิตก็ไม่ฟุ่งซ่าน การรู้คาถา และท่องคาถา ได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสมาธิและศีลธรรมกำกับ คาถา นั้นๆ จึงสัมฤทธิ์มรรคผล แต่คนในปัจจุบันคิดว่า การรู้คาถา และท่องคาถา ได้เท่านั้น ก็สามารถผูกใจเพศตรงข้ามได้ โดยเฉพาะคาถา ที่เกี่ยวกับความรัก ความเมตตา คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า สามารถทำให้เพศตรงข้ามมาสนใจได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว คาถา ไม่สามารถบังคับจิตใจเพศตรงข้ามได้ กลับเป็นการบังคับฝ่ายผู้ที่ใช้คาถา ให้เป็นไปตามคาถา บทนั้นๆ ที่สำคัญ คือ หากนำไปใช้ในด้านกามารมณ์ และผิดศีลธรรม นอกจากไม่เป็นมรรคผลแล้ว ยังเป็นการสร้างบาปให้เกิดกับผู้ใช้คาถา ด้วย

ด้าน อ.โสภณ พัฒน์ชัยชนะ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอักขระเลขยันต์ บอกว่า ในคำปรารภของ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ผู้ชำนาญทางไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถาและโหราศาสตร์ คนสำคัญของไทย ได้เขียนไว้ในทุกๆ ครั้งที่พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาต่างๆ คือ ในการใช้เวทมนต์คาถานั้น ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็อยู่ที่ “ดวงจิต” สำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดเป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนาญาณ ถึงหากว่า ปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูง ไม่เกินขั้นฌานสมาบัติก็ตาม ถึงกระนั้นก็สามารถที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ ตามภูมิของตน ดังเช่น พระเทวทัต หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอยังสามารถบิดเบือนแปลงกาย กระทำอวดให้อชาตศัตรูกุมาร หลงใหลเลื่อมใสได้

"คาถา ใด ๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเราจะต้องท่องเวทมนต์ให้จำได้ ก็จะต้องทำใจให้บริสุทธิ์ อาบน้ำชำระล้างสิ่งโสโครกให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ แล้วก็ระลึกเป็นการขอพรบารมี ให้ท่องเวทมนต์ได้ง่ายจำได้แม่น เมื่อจะท่องหรือจะใช้พระคาถา ใดๆ ทุกๆ พระคาถา จะต้องตั้งนะโม ๓ จบก่อน การใช้เวทมนต์คาถานั้น ผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ ที่ใช้คาถาบริกรรมนั้น ผู้บริกรรม จะรู้ถึงเนื้อความของคาถาที่บริกรรมนั้น หรือไม่ก็ตาม นั่นมิใช่สิ่ง ที่เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะความมุ่งหมายต้องการแต่จะให้สมาธิเท่านั้น" ลองสังเกตว่า คำพูดของคนไทยเรา แต่ละจังหวัดเหมือนกันหรือเปล่า ภาคเหนือ กลาง ใต้ อีสาน สำเนียงภาษาก็ต่างกัน บทสวดมนต์ เวทมนต์ต่างๆ สำเนียงภาษาก็ต่างกัน บางอย่างผิดเพี้ยนต่างกันไปเลย แต่ทำไมยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์และเห็นผล แต่ความสำคัญอยู่ที่ “ดวงจิต” สำรวมเป็นสมาธิ

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คาถาสวดห้ามดาวบาปเคราะห์

คาถาสวดห้ามบาปเคราะห์

นักขัตะยัก ขะภูตานัง ปาปัคคะหะ นิวาระณา ปะริตตัสสา นุภาเวนะ หันตะวา เตสัง อุปัททะเว

คาถาสวดห้ามบาปเคราะห์ บทนี้เป็นข้อห้ามบาปเคราะห์ อันเกิดด้วยอำนาจของดาวนักษัตร ยักษ์มาร ภูติผีปีศาจทั้งหลาย ด้วยอานุภาพของ พระคาถาสวดห้ามบาปเคราะห์ บทนี้ ซึ่งจะช่วยขจัดอุปัทวะทั้งหลายที่จะเกิดมี ให้ห่างหายออกไป ด้วยบารมีของพระคาถาบทนี้

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ป้องภัยพิบัติเมื่อโดยสารยวดยาน

คาถาหลวงปู่ศุข

สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ มะอะอุ

ขึ้นรถ ลงเรือ ขึ้นเครื่องบิน ท่องเสมอ ป้องกันภัยพิบัติ ฯ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มหาพุทธมนต์นัมเมียวฯ

นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว (Num myo ho renge kyo)

คือคำสวดภาวนาในศาสนาพุทธนิกาย นิชิเรนทุกแขนง ประสมขึ้นจากคำว่านามู+ชื่อของสัทธรรมปุณฑริกสูตรในภาษาญี่ปุ่น พระนิชิเรนไดโชนินเป็นผู้เริ่มต้นเผยแผ่คำสวดนี้ แปลเป็นไทยว่า ขอนอบน้อมอุทิศชีวิตแด่สัทธรรมปุณฑริกสูตร เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไดโมขุ (ธรรมสารัตถ) ทั้งนี้นิกายนิชิเรนจะมองคำว่า เมียวโฮเร็งเงเคียวนั้นมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าเป็นเพียงชี่อของพระสูตร

สานุศิษย์ในนิกายจะท่องสวดพระสูตรและธรรมสารัตถนี้ทุกเช้าค่ำเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐาน โดยเชื่อว่าคือวิธีหนึ่งเดียวในการปลุกธรรมชาติพุทธะที่มีอยู่ในตนให้ตื่นขึ้น และเป็นการชำระอายตนะทั้ง 6 ให้สะอาดบริสุทธ์ เพื่อจุดหมายในการบรรลุพุทธภาวะในรูปกายปัจจุบัน

คุรุ รินโปเช บทสวด "โอมวัชระคุรุฯ"

จากส่วนลึกของจิตของเธอ สวดมนต์แห่ง คุรุ รินโปเช ในรูปแบบใดรูป
แบบหนึ่งต่อไปนี้


ในสันสกฤตแบบทิเบต
โอม อา หุง เบดซาร์ คุรุ เปมะ สิทธิ หุง


ในภาษาสันสกฤต
โอม อา หุม วัชร คุรุ ปัทมะ สิทธิ หุม



คำแปลของมนต์ คือ " รูปร่างตัวตนของกาย วาจา และใจของพุทธะ
โอ ปัทมะ ( สัมภวะ ) โปรดจงประทานพรทั้งหลาย "



เหมือนผลของผู้สวดและความปลอดโปร่ง ลำแสงแห่งพรอันหลากสี
จาก คุรุ รินโปเช สัมผัสกับเธอนำความอบอุ่นและความปลอดโปร่ง
เข้าสู่กายและจิต แสงเหล่านี้ไม่เพียงมีรูปสวยงามและบริสุทธิ์ แต่เป็น
พลังแห่งความสงบ อบอุ่น ความสุขสบายและปลอดโปร่งปล่อยให้
ความรู้สึกนี้แผ่ซ่านในตัวเธอทั่วทุกขุมขนและทวาร ปัดเป่าความกังวล
และความทุกข์โศกทั้งหมดไปเหมือนแสงอาทิตย์ขจัดความมืด รู้สึกว่า
ร่างกายทั้งหมดของเธอเปลี่ยนไปเป็นแสงและพลังแห่งการเยียยา






ท่องมนต์ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ปล่อยให้ตัวเธอทั้งหมดจดจ่อกับเสียงจินตนา
การว่าการสวดของเธอ ได้เปิดจิตของสรรพชีวิตทั้งหมดสู่ความเบิกบาน
อันน่าเลื่อมใสและแสงจาก คุรุ รินโปเช แผ่ไปทุกทิศทาง ขจัดความยุ่ง
ยาก ความเศร้า ความเจ็บปวดทั้งหมด สรรพชีวิตทั้งหมดได้รับอิสระใน
การสวดมนต์ประสานเสียงอันทรงอำนาจ การสวดมนต์เติมเต็มจักรวาล
ซึ่งกลายเป็นหนึ่งเสียง แสง และความเบิกบาน




รู้สึกเบิกบานในความอบอุ่นและความปลอดโปร่งนี้ ปล่อยให้ความคิด
และความรู้สึกทั้งหมดกลมกลืนไปกับมหาสมุทรแห่งความสงบ อันน่า
เลื่อมใสในที่ซึ่งไม่มีความแตกต่างและขอบเขต อยู่เหนือความเจ็บปวด
และความตื่นเต้น ความดีและความชั่ว สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น เธอหรือฉัน
แต่เป็นทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน




แม้ว่าจุดหมายที่สูงกว่าของการปฏิบัติสมาธินี้ คือ การรู้แจ้งทางจิตเธอ
อาจเพ่งจิตไปยังคุรุสัมภวะเหมือนบ่อเกิดของพลัง เพื่อการเยียวยาตาม
ปกติของปัญหาทางอารมณ์และทางกาย โดยการสร้างนิมิตในรูปแห่ง
พลังเยียวยาส่องแสงออกมาจากภาพนิมิต เหมือนเช่นแสงเลเซอร์ หรือ
จินตนาการน้ำทิพย์โอสถจากแจกันของคุรุ รินโปเช กำลังไหลชะโลม
ตัวเธอ อันดับแรก ชำระล้างความทุกข์ทางใจ อารมณ์และทางกายของ
เธอจนหมดสิ้น จากนั้นเติมกายและจิตทั้งหมดของเธอด้วยความสงบ
และความเข้มแข็ง คุรุ รินโปเช สามารถเป็นบ่อเกิดของพลังระหว่าง
การปฏิบัติสมาธิในบุคคลอื่นแต่ละคน กระทำเหมือนผู้เยียวยาสำหรับ
เธอ





การสร้างนิมิตใด ๆ ก็ตาม เธอสามารถทำซ้ำระหว่างการนั่งสมาธิ
บ่อยเท่าที่เธอรู้สึกสบายอยู่



เมื่อเธอกำลังทำงานประจำวัน สามารถนำเอาความรู้สึกปลอดโปร่ง
ของการปฏิบัติสมาธิสู่ชีวิตของเธอได้บ่อย ๆ เธอสามารถสวดมนต์
เสียงดังหรือสวดในใจเมื่อเธออยู่ในที่ชุมชน

มนต์ภาวนา ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

อานิสงส์ที่จากการสวดมนต์ภาวนา ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
1.เพื่อเพิ่มพูนสติปํญญาให้สามารถเห็นแจ้งในธรรมะ
2.เพื่อการบรรลุภาวะการเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม
3.เพื่อการตรัสรู้และการบรรลุนิพพานโลกธาตุในที่สุด

สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เดินทางเสี่ยงต่ออันตราย หรือ เผชิญภาวะฉุกเฉิน
และ ต้องการตั้งสติขจัดความตื่นกลัวออกไปโดยเร็ว ควรบริกรรม โดยใช้บทสวดมนต์ย่อว่า

"คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิสวาหา"

ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ท่านหลวงจีนเฮียงจั๋ง (พระถังซำจั๋ง) ท่านกล่าวว่า
ท่านสวดบทนี้เมื่อท่านอยู่ในภาวะคับขันในการเดินทางข้ามทะเลทราย
ท่านเชื่อว่าทำให้มีสติตั้งมั่น เกิดปํญญา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

หัวใจพระแม่กวนอิมฯ

โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง

คาถา " โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง " นี้ใช้สวดได้ในทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ถ้ายิ่งสวดได้มากยิ่งเป็นการดี การสวดครั้งหนึ่งผู้ปฎิบัติควรท่องสวดด้วยจิตน้อมถึงพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ ( อวโลกิเตศวร ) จึงเป็นบุญเป็นผลอย่างอเนกอนันต์ เวลาสวดอย่ารีบร้อน โดยใช้วิธีนับประคำ 108 เม็ด สวด 1 จบ นับ 1 เม็ด สวดครบ 108 จบ ให้ขีดฆ่า 1 วงกลม เมื่อสวดจนครบหมดทุกวงกลมแล้ว ให้พิมพ์หนังสือธรรมะและบทสวดมนต์ในเวบนี้แจกเป็นธรรมทาน จำนวนมากกว่าอายุของผู้สวด หรือ 108 เล่ม หรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี เพื่อเป็นการเสริมบารมีดวงชะตาราศีให้ผู้สวดอายุยืนยาว เป็นมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

คาถา " โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง " ในภาษาจีน หรือ " โอม มา นี ปัท เม หุม " ในภาษาสันสกฤต เป็นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธมหายานทั้งหลายไม่ว่าจะในประเทศอินเดีย ธิเบต จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน เป็นต้น ต่างทราบกันดีว่าเป็นคาถาหัวใจของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ ( อวโลกิเตศวร )

มูลเหตุแห่งพระคาถาบทนี้มีว่า ในครั้งอดีตอันยาวนาน ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร กำลังเข้าสมาธิบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น หมู่มารได้มาราวีรังควาน แต่ด้วยพระมหาเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระองค์ จึงมิได้ตอบโต้แต่ประการใด หมู่มารเห็นเช่นนั้น ก็ได้ใจยิ่งราวีหนักขึ้น จนในที่สุด พระองค์ได้ทรงเปล่งพระวาจาออกมาสั้นๆเพียง 6 คำ แต่เปี่ยมล้นด้วยบุญญาภิหาร อันยิ่งใหญ่ไพศาลมิอาจเปรียบประมาณได้ ซึ่งก่อกำเนิดมาจากก้นบึ้งแห่งดวงจิตที่ได้บำเพ็ญสั่งสมบุญบารมีมานานนับภพนับชาติไม่ถ้วนยิ่งกว่าเม็ดทรายในมหานทีคงคา ว่า " โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง " ซึ่งด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ของพระคาถาบทนี้เอง ทำให้หมู่มารทั้งหลายต่างขวัญหนีแตกกระเจิงไปสิ้น อีกทั้งเหล่าทวยเทพยดาบนชั้นฟ้าต่างต้องสะดุ้งลุกขึ้นมาโมทนาโดยทั่วถ้วน

" โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง " นี้คือ มนีแห่งดอกบัวหรือหัวใจที่เบิกบาน ใจที่สะอาด สว่าง หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ คือ กิเลสที่ร้อยรัดให้เศร้าหมอง มนีนี้คือใจของเรา ดอกบัวคืออาสนะอันบริสุทธิ์ ดังนั้น ผู้ที่ภาวนาพระคาถานี้อยู่เนืองๆ ย่อมเป็นผู้ที่มีแก้วสารพัดนึกที่จะเป็นอาสนะอันวิเศษ ซึ่งจะนำพาให้ไปถึงนิพพานโลกธาตุได้ในที่สุด

คาถาหัวใจพระแม่กวนอิมฯ นี้ คนจีนเรียกว่า " หลัก ยี่ ไต่ เหม่ง อ้วง จิ่ว " ทุกอักษรในคาถาเป็นทางแห่งปัญญาอันสว่างไสว มีความศักดิ์สิทธิ์ ทรงพลานุภาพมหาศาล เพียงพอที่จะหยุดยั้งวงแห่งกรรม ได้ปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัย ดังนั้น สาธุชนผู้ใดพร่ำภาวนาอยู่เสมอย่อมอยู่อย่างเป็นสุข หมู่มารมิอาจกล้ำกราย บุญบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ ( อวโลกิเตศวร ) ย่อมคุ้มครองและเสริมบารมีให้ผู้สวดประสบความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป ประกอบกิจการงาน การค้าใด ก็ย่อมเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ เสมือนดังเพชรมณีอันล้ำค่าย่อมประทานความมั่งคั่งสมบูรณ์ ความสุขสมหวังสมปรารถนาแก่ผู้ภาวนาในทุกสิ่งที่ตั้งจิตอธิษฐาน แม้ภาวนาเพียง 1 จบก็มีอานิสงส์มากมาย

คาถาหัวใจพระยาเต่าเรือน (เมื่อต้องคดีความ)

คาถาหัวใจพระยาเต่าเรือน

“นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ”

ให้ ไว้สำหรับผู้ที่มีความเดือดร้อนคดีความ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ยิ่งถ้าไม่ผิดด้วยแล้ว ก็จะสามารถกลับร้ายกลายเป็นดี ถ้าผิด ก็จะผ่อนหนักให้เป็นเบา คาถานี้มีว่า

ผู้ใดหมั่นภาวนาสวดมนต์ทุกวัน ด้วยคาถานี้ อย่างน้อยวันละ ๓ หรือ ๙ จบ ท่านว่า ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่โชคดี มีลาภผลไม่ขาดแคลน เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมแก่คนทั่วไป หากขึ้นโรงขึ้นศาลหรือมีคดีความ ให้ภาวนาไว้ตลอดเวลา ยิ่งมียันต์พระยาเต่าเรือนติดตัวอยู่ด้วยแล้ว จะทำให้สัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น

คาถา หัวใจสุนัข

คาถา หัวใจสุนัข

อิ มา อา กิ

คาถา หัวใจสุนัข คาถาบทนี้ ภาวนาเวลาผ่านบ้านที่มีสุนัข หมาดุๆ
ไม่เห่าเลยและไม่กัดด้วยวิเศษนักแล

คาถาหัวใจขุนแผน

ตั้งนะโม 3 จบ

สุ นะ โม โล

คาถาหัวใจขุนแผน เป็นคาถา เมตตา มหานิยม แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ

บทเต็มๆจะกล่าวว่า" สุสิมุลิ สุนะโมโล อะวิสะมะ สะสิมะนะ"

หัวใจคาถา ของพระมหาคาถาชินบัญชร

หัวใจคาถา ของพระมหาคาถาชินบัญชร
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

ตั้งนะโม ๓ จบ

ชินะปัญชะระ ปะริตตังมัง รักขะตุ สัพพะทา หรือ

วิญญาณสัมปันโน อิติปิโส ภะคะวา นะโมพุทธายะ

๙ จบ
(ขอพระอนันตชินเจ้าในบัญชรแวดวงกงล้อม พระโมรปริตรและพระขันธปริตร อรหันต์เจ้า จงคุ้มครองรักษาข้าพเจ้าให้พ้นจากภยันตรายสรรพสิ่งทั้งปวง ตลอดเวลาทุกเมื่อ)


เป็นคาถาสวดย่อ หรือเรียกว่าหัวใจคาถา ของพระมหาคาถาชินบัญชรที่สมเด็จโตแปลงมาจากศิลาจารึกที่พบในศรีลังกาดินแดน แห่งการสืบทอดศาสนาพุทธจากองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธอรหันตเจ้าศาสดาของชาวพุทธ อินเดียพระองค์แรกที่ปรากฏในโลกมนุษย์ หากผู้ใดได้สวดภาวนาเป็นประจำ จะบทย่อหรือเต็มก็ตามถนัด จะบังเกิดสมาธิที่ทำให้เกิดปัญญาสามารถแก้ปัญหาสรรพสิ่งพึงปรารถนาที่ต้อง การได้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่มิได้บังคับผู้ใดที่ไม่เชื่อปฏิบัติ ฉะนั้น จงใช้วิจารณญาญในความเชื่อให้ถ่องแท้เถิด คงไม่ใช่การเล่น หรือการคิดค่าตอบแทนใดๆ โดยเฉพาะเลข ๙ ก็เป็นเลขมงคลแสดงถึงความก้าวหน้า สวด ๙ ครั้งก็เพื่อให้เกิดสมาธิแน่วแน่มั่นคงแม่นยำเผื่อพลาด และก็เพื่อเป็นการเผยแพร่ ซึ่งก็ไม่มีเหตุอันใดที่บังคับหากไม่ส่งต่อ และหากส่งแล้วหลุดพ้นจากบ่วงกรรมก็น่าจะดี เพราะช่วยให้ผู้อื่นหลุดพ้นด้วย จึงเป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง มีอานิสงค์ตามอัตภาพของแต่ละบุคคล มิใช่ทั้งหมด บุคคลยังต้องเวียนว่ายกงกรรมของตนต่อไป ยังดีที่คิดได้และหากดีกว่านั้นต้องทำความดีกับตนและผู้อื่นให้ต่อเนื่อง หรือยึดถือศีล ๕ ให้จงได้ จะเกิดกุศลกรรมตามปรารถนาของแต่ละคน ซึ่งแนวพุทธมิได้มีการบังคับแต่อย่างใดอยู่ที่ผู้ปฏิบัติได้ในโลกุตรธรรมแค่ ไหน และก็มีปรากฏถึงขั้นพระอรหันตเจ้าสืบต่อกันมาให้เราได้เคารพยึดเหนี่ยวมาก มาย และก็อยู่ที่ผลการปฏิบัติดีแล้วเฉกเช่น สมเด็จโต ฯลฯ